เมื่อช่วงเม.ย.-พ.ค. 2553 ศูนย์ ศอฉ. โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงคราม เข้าสลายการชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นคำสั่งฆ่าและทำร้ายประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน และเสียชีวิต 99 ศพ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ดีเอสไอซึ่งมีตนเป็นอธิบดีในขณะนั้น จำเป็นต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาความยุติธรรม ด้วยการดำเนินคดีต่อผู้สั่งฆ่าผู้เข้าชุมนุม ในข้อหาตามมาตรา ป.
นายธาริต กล่าวอีกว่า ในประเด็นที่ 2 ตามที่มีข่าวเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่าตนได้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลฎีกาหลายๆ ครั้ง โดยอาจเป็นการหลบเลี่ยงอย่างน่าสงสัยนั้น ขอชี้แจงว่า มีการขอศาลอาญาเลื่อนคดีหลายๆ ครั้งจริง แต่มีสาเหตุมาจากเหตุสำคัญถึง 4 ประการ ได้แก่ 1.การส่งหมายศาลไม่ตรงกับภูมิลำเนาจำเลย 2. จำเลยเจ็บป่วยเป็นโควิดสองครั้ง ที่โรงพยาบาลพญาไท 2 และเข้ารับการผ่าตัดไตทั้ง 2 ข้าง ที่โรงพยาบาลศิริราช กับเป็นลมหมดสติจริง 3.
และประเด็นที่ 4 ข้อกังวลและไม่สบายใจของตน และญาติผู้ตายคือ หากศาลฎีกาจะพิพากษาลงโทษจำเลย ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ย่อมเกิดผลอย่างใหญ่หลวงมาก เพราะอาจพิพากษาระบุเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ว่า การที่ตนกับพวก พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพนั้น ไม่ชอบ เป็นความผิด เพราะนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ กระทำการออกคำสั่ง ศอฉ.
เมื่อถามว่า ในวันที่ 10 ก.ค.นี้ จะเกิดอะไรขึ้น นายธาริต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีผลต่อความยุติธรรมว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะตนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งเรื่อง ป.อาญา มาตรา 200 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ คำร้องที่ได้ยื่นเมื่อวันที่ 7 ก.ค.