“บำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน” หน้าที่ที่หลายท่านคงทราบกันดีว่าคงไม่พ้นอาชีพ “ตำรวจ” ซึ่งถือเป็นผู้ธำรงรักษาและเป็นผู้ใช้บังคับกฎหมาย ฉะนั้น ข้าราชการตำรวจจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ประพฤติปฏิบัติตนฝ่าฝืนหรือกระทำผิดกฎหมายเสียเอง ข้าราชการทุกประเภทรวมทั้งข้าราชการตำรวจ หากกระทำการใดๆ ที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายโดยเฉพาะที่มีโทษทางอาญาด้วยแล้ว แม้บางกรณีอาจไม่ต้องรับโทษทางอาญาเพราะศาลยกฟ้องจากเหตุมีข้อสงสัยในพยานหลักฐาน...
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง แต่อนุกรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการอุทธรณ์ ทำการแทนคณะกรรมการข้าราชการตำรวจมีมติยกอุทธรณ์และให้เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกเป็นไล่ออกจากราชการ ผู้บังคับการฯ จึงมีคำสั่งเพิ่มโทษตามมติของอนุกรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจฯ ศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยว่า การสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการด้วยเหตุผลว่าคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการพิสูจน์ความผิดของผู้ฟ้องคดีและศาลได้มีคำพิพากษาในเนื้อหาของคดีว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้กระทำความผิดที่มีโทษทางอาญาหรือไม่ ประกอบกับไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาต้องพิจารณาดำเนินการทางวินัยโดยต้องผูกพันไปตามความเห็นของพนักงานอัยการ ทั้งในการสอบสวนทางวินัยมีกฎหมายและกฎกำหนดอำนาจหน้าที่ วิธีการสอบสวน และการพิจารณาโทษทางวินัยไว้เป็นเอกเทศต่างหากจากการดำเนินคดีอาญา...