ข่าว

"จตุพร" เหน็บ "ประยุทธ์" ความน่าเชื่อถือไม่เหลือแล้ว

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"จตุพร" เหน็บ "ประยุทธ์" ขอให้เชื่อกันอีกครั้ง บ่งบอกความน่าเชื่อถือไม่เหลือแล้ว ซัดตั้ง คกก.สมานฉันท์ สะท้อนอาการปลิ้นปล้อน-ยื้ออยากอยู่ในอำนาจ เชื่อขัดแย้งใกล้เดินถึงจุดแตกหัก เตือนจับตาทุนผูกขาดเป็นภัยสูบโกยทำประเทศล่มจม

วันที่ 29 ต.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เผยผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk ย้ำว่าการเมืองในปัจจุบันเดินมาถึงจุดที่ประชาชนหมดความเชื่อถือกันแล้ว โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงกับออกปากพูด "ให้เชื่อกันอีกครั้ง" นั่นมีนัยบอกถึงความน่าเชื่อถือไม่เหลืออีกแล้ว

 

นายจตุพร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ส่งเสียงให้เชื่ออีกครั้งในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งแก้ ม.256 และแก้ ม.272 เรื่องอำนาจวุฒิสภาโหวตเลือกนายกฯ รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการ (คกก.) สมานฉันท์ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน


อย่างไรก็ตามการเปล่งวาจาให้เชื่ออีกครั้งนั้นมีนัยสำคัญว่า เราเดินมาถึงจุดที่ความเชื่อไม่มีเหลือในแผ่นดินกันอีกแล้ว คือเดินมาถึงจุดที่ไม่มีใครฟังใครอีกต่อไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ผู้นำออกมาพูดคงไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำว่า "ขอให้เชื่ออีกสักครั้ง" เพราะสิ่งนี้มีนัยว่า ความน่าเชื่อถือไม่เหลืออีกแล้ว

 

 

"บทเรียนตั้ง คกก.สมานฉันท์ นั้น ตลอดเวลากว่า 10 ปีมานี้ คำว่าสมานฉันท์เป็นคำล้มละลาย คำว่าปรองดอง แปลความว่าเป็นเรื่องหลอกลวงกัน เพราะไม่เคยมีอยู่จริง ปัญหาของชาติที่ผ่านมา การตั้ง คกก.สมานฉันท์กี่ยุคสมัยนั้น ไม่เคยนำมาแก้ไขปัญหาชาติได้แม้แต่เพียงครั้งเดียว"

 

อีกอย่างหากการตั้ง คกก.สมานฉันท์ มีผลรูปธรรมแล้ว ประเทศนี้สมานฉันท์กันมานานแล้ว แต่ตลอดเวลาประเทศไทยกลับอยู่ในวังวน อยู่กับการตั้งกรรมการสมานฉันท์ เมื่อศึกษาครบถ้วนแล้วไม่มีใครเอามาทำแม้แต่รายเดียว แต่อาจมีเหตุกล่าวอ้างไปว่า หลังจากศึกษาเสร็จก็พ้นจากวาระหรือถูกยึดอำนาจ

 

ดังนั้นถ้าประเทศยังอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกต่อไปนั้น เราไม่มีวันแก้ไขปัญหาชาติได้ ตนไม่เคยปฏิเสธคำชวนไปคุยเรื่องปรองดองและสมานฉันท์แม้แต่ครั้งเดียว ให้ความร่วมมือมาตลอด ทั้งที่รู้ว่าถูกหลอกอีกแล้ว แต่เรามีความปรารถนาว่า ประเทศจะอยู่ท่ามกลางความเกลียดชังไม่ได้ เพราะประเทศใดถ้าประชาชนอยู่ด้วยความเกลียดชังระหว่างกัน ประเทศนั้นไม่มีโอกาสพัฒนา เพราะต่างฝ่ายมุ่งทำลายล้างกันและกัน ดังนั้นคำว่าขอให้เชื่ออีกครั้ง แปลความว่า ที่ผ่านมามันคืออะไร

 

นายจตุพร อธิบายว่า การศึกษาเรื่องสมานฉันท์ ถ้ารื้อค้นการศึกษาในอดีตแล้วพบว่าทำได้ครบถ้วน และไม่ต้องศึกษาใหม่อีก สิ่งที่เหลืออยู่มีอย่างเดียวคือ การปฏิบัติเท่านั้น อีกทั้งเมื่อศึกษาแล้วส่งไปให้รัฐบาลก็ไม่มีผลต่อการปฏิบัติใดๆทั้งสิ้น และวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องการศึกษาอีก แต่เป็นการลงมือกระทำ แล้วท้ายที่สุดตัวละครเดิมก็ถูกชวนมานั่งประธานสมานฉันท์ ศึกษาเสร็จก็ส่งให้ผู้มีอำนาจเก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา

 

"ดังนั้นอย่าได้สงสัยอะไรเลยว่าทำไมประชาชนไม่เชื่อ ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลนี้ แต่มีมาหลายรัฐบาลแล้ว เนื่องจากระบบคิดทางอำนาจ คือ ความขัดแย้งเป็นช่องว่างของการครองอำนาจ และยังเป็นอุปสรรคในการพัฒนา หรือแก้ไขปัญหาชาติ"

 

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ความจริงคำถามพ่วงให้ สว.โหวตเลือกนายกฯ แต่คนแต่งตั้งวุฒิสภาคือผู้เสนอตัวเป็นนายกฯของพรรคการเมือง จึงกลายเป็นปัญหามาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ทั้งที่รู้ว่าไม่มีความจำเป็น ถ้าเสียงในสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึงครึ่งมันก็ไม่มีความหมาย เนื่องจากสิ่งสำคัญคือ มันได้ทำลายอารมณ์ความรู้สึกเรื่องประชาธิปไตย

 

รวมทั้งคนเสนอให้ สว. 250 คน มาโหวตนายกฯนั้น เขาพยายามถอน ยังเรียกร้องให้แก้ไขในทุกวันนี้ เพราะมันเป็นรอยตำหนิด่างพร้อยทางการเมือง จะมาอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ทั้งที่ไม่มีผลอะไรหากไม่สามารถมีเสียง ส.ส.เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่การเสนอเช่นนั้นเป็นแค่อยากเอาเปรียบ เอาความสะใจเป็นเบื้องต้นเท่านั้น แต่กลายเป็นที่มาของปัญหาถึงปัจจุบัน

 

"วันนี้ผมเชื่อว่าไม่มีทาง สว.จะได้โหวตเลือกนายกฯอีกครั้งหนึ่ง แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 ไม่ได้แก้ไขก็ตาม ลองสิว่าใครมันจะกล้าโหวตกันอีก เพราะบ้านเมืองเดินมาถึงจุดปัจจุบันนี้ เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบไม่ใช่หรือ"

 

เชื่อว่าการแก้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องของความพยายามจะแก้ปัญหาชาติจากความขัดแย้งเดิม แต่กลับกลายเป็นความขัดแย้งใหม่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะหลักคิดที่ไม่ต้องการแก้ไขปัญหาและสร้างความสมานสามัคคีคนในชาติอย่างจริงจังนั้น แล้วเราเดินมาถึงจุดเดิมอีกครั้ง ซึ่งเป็นจุดมีความเสี่ยงที่สุด และน่าเป็นห่วงกว่าสถานการณ์ในห้วง 15 ปีมานี้

 

นอกจากนี้แม้ไม่มีความพยายามหาทางยุติความขัดแย้งอย่างจริงจัง แต่กลับตั้ง คกก.สมานฉันท์ ซึ่งตนเชื่อว่าไม่มีความหมาย และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องรู้ คกก.ชุดนี้ทำอะไรบ้างในการสมานฉันท์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินในการจัดการประชุมอีก เพราะประเทศนี้หมดเงินกับการตั้งกรรมการศึกษาปัญหาแบบนี้กันมาหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการปฏิบัติ

 

 

อีกอย่างสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้เดินมาไกล โดยมีภัยคุกคามมากมาย ดังนั้นวันนี้สิ่งต้องพิสูจน์อันสำคัญคือ การกระทำ เพราะคนไม่เชื่อคำพูดกันอีกแล้ว จนไม่มีใครฟังใครกันอีกต่อไป ถ้าการดำรงอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ประกาศไม่ลาออก ท่านก็ต้องเผชิญวิบากกันต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ของประเทศไทย ยังมีเรื่องสำคัญเข้ามาแทรกซ้อน คือต้องจับตาเผด็จการทางเศรษฐกิจ ทุนผูกขาดและภัยคุกคามจากมหาอำนาจจ้องทำลาย ซึ่งเป็นภัยที่ร้ายที่สุด

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มทุนผูกขาดในประเทศไทย เอาเปรียบประชาชนคนส่วนใหญ่ของชาติมายาวนาน ไม่มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นอภิสิทธิ์ชน ปิดหนทางการทำมาค้าขายอย่างสุจริต ภูมิปัญญาชาวบ้านถูกสกัดโดยกลุ่มทุนใหญ่

 

"กลุ่มทุนผูกขาดพวกนี้ได้ผลประโยชน์เสมอทั้งในยามบ้านเมื่องเป็นเผด็จการ หรือประชาธิปไตย ล้วนได้ประโยชน์ทุกการปกครอง เพราะทุนผูกขาดได้วางระบบ วางการจัดการในทุกขบวนการของประเทศไทย และไม่มีใครไปต่อสู้อะไรได้ ประชาชนมองตาปริบๆ แล้วท้ายที่สุดทุนที่ได้จากการผูกขาดโดยมิชอบ ก็ไปซื้อกระดานทางการเมืองหมด ยึดอำนาจพวกนี้ก็มีหน้าที่สนับสนุน แต่ประชาชนกลับเป็นผู้รับชะตากรรม ดังนั้น พวกนี้จึงเป็นภัยเผด็จการทางเศรษฐกิจ และทุนผูกขาดทั้งหลาย ร้ายกาจที่สุด โดยหาประโยชน์จากประเทศที่มีความขัดแย้ง"

 

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ประเทศที่อยู่ในสภาพแบบนี้ และกำลังเผชิญกับภาวะทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ยาวนาน แต่ยังปล่อยให้มีการผูกขาด เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการกระจายรายได้ ทรัพยากรอย่างเท่าเทียม แล้วผลประโยชน์ของประเทสก็ถูกสูบไปรวมอยู่กับคนไม่กี่คนในแผ่นดินนี้

 

ส่วนภัยคุกคามจากมหาอำนาจนั้น พิจารณาได้จากโรคแทรกในความแตกแยก เพื่อเข้ามาแสวงหาประโยชน์ในไทย เมื่อพิจารณาจากปรากฎการณ์โลกแล้ว เราจะพบว่าโลกเสรีประชาธิปไตยไม่เคยมีอยู่จริง การรัฐประหารที่เกิดขึ้น โลกเสรีไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ ดูจากยึดอำนาจเสร็จก็ซื้ออาวุธและรับรองรัฐประหารทุกครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีประเทศเสรีประชาธิปไตยจริง นอกจากเอาประโยช์ของประเทศตัวเองเท่านั้น

 

ทั้งนี้ นายจตุพร เสนอว่า ฝ่ายความมั่นคงควรทำวิจัยคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในไทยทุกตารางนิ้ว อีกทั้งฝ่ายมีหน้าที่รับผิดชอบควรอธิบายการสร้างความไม่สบายใจระหว่างมหาอำนาจแต่ละชาติบนผื้นดินไทยในลักษณะชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

 

"หลายสถานการณ์ที่ปรากฏในทุกวันนี้ ประเทศไทยถึงจุดมีความเสี่ยง และถ้าเราเดินถึงจุดนั้นจะรับผิดชอบกันไหวหรือไม่ สิ่งสำคัญคือสถานการณ์ที่เปราะบางนี้ เมื่อเดินมาถึงจุดทั้งสองฝ่ายต่างหมดความอดทน ผมว่าน่ากังวล แปลความว่าไม่พร้อมจะทนกันทั้งสองฝ่าย และผมเห็นว่ากำลังจะเดินไปถึงจุดใกล้เต็มทีแล้วเหมือนกัน เพราะการเดินของแต่ละฝ่ายกำลังไปบรรจบกันในการหมดความอดทน ไม่รู้ใครเป็นใคร บ้านเมืองจะมีความโกลาหล"

 

ดังนั้นคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องคิดว่า จะช่วยถอดสลักภัยที่เป็นปัญหาในชาติ และภัยคุกคามจากต่างชาติหรือไม่ และเอาประเทศให้อยู่รอดได้อย่างไร ส่วนตนยังยืนในจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับถูกกล่าวหาจากคนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตนไม่กังวลอะไร ยังเป็นคนตามแบบฉบับนี้เช่นเดิม คือไม่แสวงหาความชื่นชม ชื่นชอบ และเกียรติยศทางการเมือง

 

#ลาซาด้าจัดโปรแรงถูกสุดในรอบปีวันนี้วันเดียว

 

"จตุพร" เหน็บ "ประยุทธ์" ความน่าเชื่อถือไม่เหลือแล้ว

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ